ฉากชีวิตที่อยู่กลางแจ้ง
ช่วงอายุสามสิบห้า ถึงห้าสิบ ผมใช้เวลาไม่น้อยไปกับการเข้าป่าออกทะเล
สภาพดังกล่าวส่งผลต่องานเขียนของผมอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ในด้านหนึ่ง มันทำให้ผมเขียนถึงสายนำ้ขุนเขาอยู่บ่อยครั้ง
และในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ความคิดและสำนวนภาษาของผม
ออกจะพัวพันกับภูมิประเทศเหล่านั้นอย่างแยกไม่ออก
ทำไมฉากชีวิตกลางแจ้งจึงถือครองพื้นที่ขนาดใหญ่ในชีิวิตผมเป็นเวลาหลายปี?
ย้อนพินิจจากวันนี้ ผมคิดว่า เรื่องราวมันซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าที่เคยคิด
หรือเคยอธิบายไว้แรกทีเดียว ผมนึกว่าตัวเองถือคันเบ็ด
เพื่อชดเชยความพ่ายแพ้ในสงครามปฏิวัติ หรือพูดอีกแบบหนึงคือ ไปหาเรื่องกับปลาเพื่อลบปมด้อยบางอย่าง
แต่พอตรวจสอบงานเขียนเก่าๆดูก็พบว่า
เป็นเรื่องการตกปลาล้วนๆ อยู่แค่สองสามชิ้น พ้นจากนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างผมกับผืนนำ้ดูจะพาไปคิดเรื่องอื่่นเสียมากกว่า กระทั่งบางครั้งการตกปลากลายเป็นแค่ฉากหลัง
ยกตัวอย่างเช่นคำบรรยายบรรยากาศทะเลที่ผมเขียนไว้ตอนอายุสามสิบปลายๆ
"ดาวนับแสนล้านกระพริบระยิบระยับเหมือนเกล็ดเพชรที่เกลื่อนโรยอยู่บนแผ่นผ้าสีดำ ทางช้างเผือกพาดโค้งฟ้าจากฝั่งหนึ่งสู่อีกฝั่งหนึ่่ง ราวกับสะพานสวรรค์ที่เชื้่อเชิญให้ข้ามพ้นไปสู่นิรันดร...ลี่้ลับ บรรเจิด และหลอกหลอน เช่นเดียวกับการดำรงอยู่ของชีวิต" ('เก๋าดอกหมากสีเหลือง', 2529)
หรือ
"สายฝนกระหน่ำผิวทะเลกระฉูดกระเซ็นเห็นเป็นแถวเป็นลายละลานตา เสียงคำรามครืนโครมกระหึ่มอยู่รอบทิศทางประสานกับเสียงเครื่องยนต์
และคลื่นที่กระหน่ำอยู่ทางหัวเรือ...
กลายเป็นบทเพลงประสานเสียงที่เซาะลึกถึงวิญญาณ" ('เพลงนำ้ระบำเมฆ', 2531)
คำรำพึงเหล่านี้พอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า
ผมมีปัญหากับการใช้ชีิวต 'ปกติธรรมดา' มาตั้งแต่ต้น และออกอาการมากขึ้นในห้วงขณะที่จะต้องกลับมาอยู่ร่วมกับสังคมไทย
ซึ่งผมเคยไม่พอใจถึงขั้น 'หนี' ไปอยู่ทางอื่น
แน่ละ บางท่านอาจมองว่าสภาพเช่นนั้นเป็นแค่อาการเจ็บไข้ทางจิตใจ เพราะผมมี 'ปัญหาเรื่องการปรับตัว' มาแต่ไหนแต่ไร
ผมยอมรับว่า ในสมัยก่อนตัวเองมีด้านที่ยอมหักไม่ยอมงออยู่จริงๆ แต่การกลับมาอยู่ร่วมกับสังคมที่ตัวเองเคยปฏิเสธ
เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าบุคลิกภาพหรือจิตวิทยาหลายเท่า ผมนึกไม่ออกว่า วันดีคืนดีผมจะกลับมาไต่เต้าหาความสำเร็จจากโครงสร้างสังคม
ที่เคยประณามรังเกียจได้อย่างไร แต่ในขณะเดียวกัน
กลุ่มก้อนที่ผมเคยถือสังกัดและฝากตัวตนเอาไว้
ถึงยามนั้นก็เสื่อมสลายไปจนหมดสิ้น ต่อใ้ห้ปฏิเสธกระแสหลักในสังคม
ผมก็ไม่มีที่ไหนให้อยู่ด้วย
ในโลกของปุถุชน วิกฤตอัตลักษณ์ฺ (Identity Crisis) ระดับนี้
สามารถบดขยี้บางคนให้แตกสลายได้ ถ้าไม่หาทางออกให้ทันการณ์
สำหรับผม ทางออกที่เปิดให้ มีองค์ประกอบอยู่สองอย่างคือ
หนึ่ง หาอาชีพที่มีอิสระและใกล้เคียงกับอุดมคติดั้งเดิมให้มากที่สุด
โดยไม่ต้องสนใจเรื่องค่่าตอบแทน และสอง ใช้ชีวิตส่วนตัวให้ห่างไกล
กระแสหลักมากที่สุด เพื่อป้องกันการ 'ปนเปื้อนทางจิตวิญญาณ'
ตามนิยามที่ผมยึดถือ
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
โดยรับเงินเดือนเพียงสี่พันกว่าบาท ทั้งๆที่ใน พ.ศ.นั้น ผู้จบปริญญาเอกสามารถหาเงินเดือนละแสนได้ไม่ยากในภาคเอกชน
และในทำนองเดียวกัน ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกเดินป่า
หรือไม่ออกทะเลทุกครั้งที่มีโอกาส เป็นเวลามากกว่าสิบปี
อย่างไรก็ตาม ฉากชีวิตที่อยู่กลางแจ้งเป็นสิ่งที่มีพลังโดยตัวของมันเอง แม้ในเบื้องต้นผมจะเลือกวิถีชีวิตเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นคนทั่วไป
แต่ภายในเวลาไม่นาน บารมีแห่งจักรวาลก็เร่ิมโน้มใจให้ผมมองข้ามมิติทางสังคม
ไปสู่ปริมณฑลที่ใหญ่กว่า
"ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องไร้สาระ
บื้องหน้ามหานทีอายุกว่าพันล้านปี และภายใต้เวิ้งฟ้าป่าดาวที่ดำรงอยู่มานับกัปกัลป์ ชีวิตคงจะมีความหมายมากกว่านั้น" (หมายเหตุผู้เขียน ใน 'เร่ร่อนหาปลา'
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2539)
บางครั้งผมเคยกระทั่งทดลองตอบคำถามที่เกิดขึ้นใหม่
"ท่ามกลางความมืดมิด...ภาพบางอย่างเริ่มปรากฎ ใช่หรือไม่ว่าชีิวตเป็นดั่งโน๊ตดนตรี ซึ่งลำพังตัวเองย่อมไม่อาจประกาศท่วงทำนองใด ต่อเมื่อค้นพบที่อยู่ใน 'บทเพลง' แล้วจึงได้รับมอบความหมายแห่งการดำรงอยู่และผ่านพ้น"
"ในบทเพลงไม่รู้จบของเอกภพ ชีวิตอุบัติและลับสูญเช่นดนตรีเสียงหนึ่งใน
ท่วงทำนองแห่งอนันตกาล ในเอกภพมีตัวเรา ในตัวเรามีเอกภพ คือความหลากหลายในหนึ่งเดียว และหนึ่งเดียวในความหลากหลาย เฉกเช่นตัวโน้ตและทำนองเพลงซึ่งมิอาจแยกจากกัน" ('เพลงเอกภพ, 2535)
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่เคยแน่ใจว่าชีวิตคืออะไร และความหมายของมันอยู่ตรงไหน ผมพกพาคำถามเหล่านี้ติดตัวไปด้วยในทุกเที่ยวเดินทาง เผื่อบังเอิญคำตอบจะปรากฎออกมาในระหว่างที่ผมเคี่ยวกรำตัวเองอยู่ในที่ต่างๆ
ยามเดินป่าอยู่ในเขตอุ้มผาง เห็นความสัมพันธ์ระหว่างควาญกระเหรี่ยงกับช้างของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปริศนาเหล่านั้น
"แผลบนหน้าผากช้างและรอยยิ้มของชายผู้ยากไร้...ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า
ตัวเองมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ที่อุ้มผาง...ผมหมายถึงบนพื้นพิิภพแห่งนี้"
('สายนำ้และทางช้าง', 2536)
ครั้นลงใต้ไปล่องแก่งต้นนำ้หลังสวน ได้ยินคนท้องถิ่นยืนยันความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างเขากับสายน้ำ
ก็พานสะเทือนใจอยู่ในเบื้องลึก "ป่านนี้แล้วมีสถานที่หรือ วิชาฝีมืออันใดที่ผมสามารถบอกโลกว่าตัวเองคือเจ้าของ"
('ทางทากและสายนำ้เชี่ยว', 2538)
กระทั่งขึ้นไปลัดเลาะอยู่ตามชายแดนระหว่างเสฉวนกับทิเบต
ก็ไม่ลืมนำคำถามทั้งหมดไปครุ่นคิดติดตาม "ฟ้าดินสร้างภูเขา คนตัดทาง... แต่จุดหมายเล่าเป็นผู้ใดกำหนด" ('จิวไช่โกว', 2539)
พูดก็พูดเถอะ ระหว่างนั้นผมไม่รู้เลยว่าการไม่ยอมรับกระแสหลัก
ในสังคมอย่างต่อเนื่องยาวนาน ได้กลายเป็นกระบวนการสร้างตัวตนของผม
ขึ้นมาใหม่ ซึ่งแม้ไม่ใช่นักปฏิวัติเหมือนเก่า แต่ก็ไม่ใช่สมาชิก
ของกระแสลาภ ยศ และสรรเสริญ เช่นนี้แล้ว
ถึงผมไม่มีสังกัดเป็นกลุ่มก้อนขบวนการ แต่ก็นับเป็นสายพันธุ์หนึ่งโดยตนเอง
เป็นเวลายาวนานเกินสิบปี ที่ผมใช้ชีวิตเหมือนชนชาติส่วนน้อยผู้หวงแหนวิถีดั้งเดิม ผมแต่งตัวไม่เหมือนใคร และไม่ชอบพูดคุยกับใครนอกเหนือจากมิตรสหาย
ใกล้ชิดกลุ่มเล็กๆ บางครั้งผมยินดีอยู่อย่างโด่ดเดี่ยวและพอใจกับมัน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าผมพร้อมจะเอาเป็นเอาตายกับผู้คนที่เข้ามาละเมิดล่วงเกิน
แต่ก็อีกนั่นแหละ ทั้งหมดนี้แม้จะแก้ปัญหาอัตลักษณ์ได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมพบคำตอบอะไรชัดเจนในระดับเหนือขึ้นไปอีก
ยิ่งนานวันชิีวิตยิ่งมีแต่คำถาม และความเศร้าโศกหมุนวน ราวกับว่าตัวตนของผมถูกนิยามด้วยคำถามและห้วงอารมณ์เหล่านั้น
จนอายุขึ้นห้าสิบ ความเหนื่อยล้าทำให้ผมอยากนั่งนิ่งๆและเลิกทะเลาะกับผู้คน ยามนี้ผมรู้สึกไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น นอกจากสันติภาพภายใน
พอหยุดเรียกร้องค้นหา ผมจึงเริ่มเข้าใจว่า
แท้จริงแล้วสิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ไม่ให้คืบหน้าทางจิตวิญญาณ
ก็คือการแสวงหาทางจิตวิญญาณนั่นเอง
การมีวิถีต่างจากผู้อื่นอาจจะไม่เป็นไร แต่การตีเส้นแบ่งระหว่างตนเองกับผู้อื่น
เพราะกลัวการ'ปนเปื้อน' ทางจิตวิญญาณ นับเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี คนเราไม่อาจชำระใจด้วยการแต่งกายสีขาว และการแยกตัวออกจากเพื่อนมนุษย์ก็ไม่ใช่อิสรภาพในความหมายใด
ชีิวิตก็เช่นกัน ทางที่ถูกอย่าได้ไปนิยามมัน เพราะทันทีที่ทำเช่นนั้น ชีวิตเราจะถูกย่อความให้เป็นแค่ความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ความจริงเสมอไป อย่าว่าแต่เป็นความจริงอันครบถ้วน
จะว่าไปก็นานพอสมควรแล้วที่ผมไม่ได้ตกปลา
รวมทั้งเลิกถามหาความหมายของสิ่งต่างๆ
ที่มา: เสกสรรค์ ประเสริฐกุล.(2550). ฉากชีวิตที่อยู่กลางแจ้ง. ค.คน Magazine.2(9), 134-135.
สภาพดังกล่าวส่งผลต่องานเขียนของผมอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ในด้านหนึ่ง มันทำให้ผมเขียนถึงสายนำ้ขุนเขาอยู่บ่อยครั้ง
และในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ความคิดและสำนวนภาษาของผม
ออกจะพัวพันกับภูมิประเทศเหล่านั้นอย่างแยกไม่ออก
ทำไมฉากชีวิตกลางแจ้งจึงถือครองพื้นที่ขนาดใหญ่ในชีิวิตผมเป็นเวลาหลายปี?
ย้อนพินิจจากวันนี้ ผมคิดว่า เรื่องราวมันซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าที่เคยคิด
หรือเคยอธิบายไว้แรกทีเดียว ผมนึกว่าตัวเองถือคันเบ็ด
เพื่อชดเชยความพ่ายแพ้ในสงครามปฏิวัติ หรือพูดอีกแบบหนึงคือ ไปหาเรื่องกับปลาเพื่อลบปมด้อยบางอย่าง
แต่พอตรวจสอบงานเขียนเก่าๆดูก็พบว่า
เป็นเรื่องการตกปลาล้วนๆ อยู่แค่สองสามชิ้น พ้นจากนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างผมกับผืนนำ้ดูจะพาไปคิดเรื่องอื่่นเสียมากกว่า กระทั่งบางครั้งการตกปลากลายเป็นแค่ฉากหลัง
ยกตัวอย่างเช่นคำบรรยายบรรยากาศทะเลที่ผมเขียนไว้ตอนอายุสามสิบปลายๆ
"ดาวนับแสนล้านกระพริบระยิบระยับเหมือนเกล็ดเพชรที่เกลื่อนโรยอยู่บนแผ่นผ้าสีดำ ทางช้างเผือกพาดโค้งฟ้าจากฝั่งหนึ่งสู่อีกฝั่งหนึ่่ง ราวกับสะพานสวรรค์ที่เชื้่อเชิญให้ข้ามพ้นไปสู่นิรันดร...ลี่้ลับ บรรเจิด และหลอกหลอน เช่นเดียวกับการดำรงอยู่ของชีวิต" ('เก๋าดอกหมากสีเหลือง', 2529)
หรือ
"สายฝนกระหน่ำผิวทะเลกระฉูดกระเซ็นเห็นเป็นแถวเป็นลายละลานตา เสียงคำรามครืนโครมกระหึ่มอยู่รอบทิศทางประสานกับเสียงเครื่องยนต์
และคลื่นที่กระหน่ำอยู่ทางหัวเรือ...
กลายเป็นบทเพลงประสานเสียงที่เซาะลึกถึงวิญญาณ" ('เพลงนำ้ระบำเมฆ', 2531)
คำรำพึงเหล่านี้พอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า
ผมมีปัญหากับการใช้ชีิวต 'ปกติธรรมดา' มาตั้งแต่ต้น และออกอาการมากขึ้นในห้วงขณะที่จะต้องกลับมาอยู่ร่วมกับสังคมไทย
ซึ่งผมเคยไม่พอใจถึงขั้น 'หนี' ไปอยู่ทางอื่น
แน่ละ บางท่านอาจมองว่าสภาพเช่นนั้นเป็นแค่อาการเจ็บไข้ทางจิตใจ เพราะผมมี 'ปัญหาเรื่องการปรับตัว' มาแต่ไหนแต่ไร
ผมยอมรับว่า ในสมัยก่อนตัวเองมีด้านที่ยอมหักไม่ยอมงออยู่จริงๆ แต่การกลับมาอยู่ร่วมกับสังคมที่ตัวเองเคยปฏิเสธ
เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าบุคลิกภาพหรือจิตวิทยาหลายเท่า ผมนึกไม่ออกว่า วันดีคืนดีผมจะกลับมาไต่เต้าหาความสำเร็จจากโครงสร้างสังคม
ที่เคยประณามรังเกียจได้อย่างไร แต่ในขณะเดียวกัน
กลุ่มก้อนที่ผมเคยถือสังกัดและฝากตัวตนเอาไว้
ถึงยามนั้นก็เสื่อมสลายไปจนหมดสิ้น ต่อใ้ห้ปฏิเสธกระแสหลักในสังคม
ผมก็ไม่มีที่ไหนให้อยู่ด้วย
ในโลกของปุถุชน วิกฤตอัตลักษณ์ฺ (Identity Crisis) ระดับนี้
สามารถบดขยี้บางคนให้แตกสลายได้ ถ้าไม่หาทางออกให้ทันการณ์
สำหรับผม ทางออกที่เปิดให้ มีองค์ประกอบอยู่สองอย่างคือ
หนึ่ง หาอาชีพที่มีอิสระและใกล้เคียงกับอุดมคติดั้งเดิมให้มากที่สุด
โดยไม่ต้องสนใจเรื่องค่่าตอบแทน และสอง ใช้ชีวิตส่วนตัวให้ห่างไกล
กระแสหลักมากที่สุด เพื่อป้องกันการ 'ปนเปื้อนทางจิตวิญญาณ'
ตามนิยามที่ผมยึดถือ
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
โดยรับเงินเดือนเพียงสี่พันกว่าบาท ทั้งๆที่ใน พ.ศ.นั้น ผู้จบปริญญาเอกสามารถหาเงินเดือนละแสนได้ไม่ยากในภาคเอกชน
และในทำนองเดียวกัน ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกเดินป่า
หรือไม่ออกทะเลทุกครั้งที่มีโอกาส เป็นเวลามากกว่าสิบปี
อย่างไรก็ตาม ฉากชีวิตที่อยู่กลางแจ้งเป็นสิ่งที่มีพลังโดยตัวของมันเอง แม้ในเบื้องต้นผมจะเลือกวิถีชีวิตเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นคนทั่วไป
แต่ภายในเวลาไม่นาน บารมีแห่งจักรวาลก็เร่ิมโน้มใจให้ผมมองข้ามมิติทางสังคม
ไปสู่ปริมณฑลที่ใหญ่กว่า
"ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องไร้สาระ
บื้องหน้ามหานทีอายุกว่าพันล้านปี และภายใต้เวิ้งฟ้าป่าดาวที่ดำรงอยู่มานับกัปกัลป์ ชีวิตคงจะมีความหมายมากกว่านั้น" (หมายเหตุผู้เขียน ใน 'เร่ร่อนหาปลา'
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2539)
บางครั้งผมเคยกระทั่งทดลองตอบคำถามที่เกิดขึ้นใหม่
"ท่ามกลางความมืดมิด...ภาพบางอย่างเริ่มปรากฎ ใช่หรือไม่ว่าชีิวตเป็นดั่งโน๊ตดนตรี ซึ่งลำพังตัวเองย่อมไม่อาจประกาศท่วงทำนองใด ต่อเมื่อค้นพบที่อยู่ใน 'บทเพลง' แล้วจึงได้รับมอบความหมายแห่งการดำรงอยู่และผ่านพ้น"
"ในบทเพลงไม่รู้จบของเอกภพ ชีวิตอุบัติและลับสูญเช่นดนตรีเสียงหนึ่งใน
ท่วงทำนองแห่งอนันตกาล ในเอกภพมีตัวเรา ในตัวเรามีเอกภพ คือความหลากหลายในหนึ่งเดียว และหนึ่งเดียวในความหลากหลาย เฉกเช่นตัวโน้ตและทำนองเพลงซึ่งมิอาจแยกจากกัน" ('เพลงเอกภพ, 2535)
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่เคยแน่ใจว่าชีวิตคืออะไร และความหมายของมันอยู่ตรงไหน ผมพกพาคำถามเหล่านี้ติดตัวไปด้วยในทุกเที่ยวเดินทาง เผื่อบังเอิญคำตอบจะปรากฎออกมาในระหว่างที่ผมเคี่ยวกรำตัวเองอยู่ในที่ต่างๆ
ยามเดินป่าอยู่ในเขตอุ้มผาง เห็นความสัมพันธ์ระหว่างควาญกระเหรี่ยงกับช้างของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปริศนาเหล่านั้น
"แผลบนหน้าผากช้างและรอยยิ้มของชายผู้ยากไร้...ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า
ตัวเองมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ที่อุ้มผาง...ผมหมายถึงบนพื้นพิิภพแห่งนี้"
('สายนำ้และทางช้าง', 2536)
ครั้นลงใต้ไปล่องแก่งต้นนำ้หลังสวน ได้ยินคนท้องถิ่นยืนยันความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างเขากับสายน้ำ
ก็พานสะเทือนใจอยู่ในเบื้องลึก "ป่านนี้แล้วมีสถานที่หรือ วิชาฝีมืออันใดที่ผมสามารถบอกโลกว่าตัวเองคือเจ้าของ"
('ทางทากและสายนำ้เชี่ยว', 2538)
กระทั่งขึ้นไปลัดเลาะอยู่ตามชายแดนระหว่างเสฉวนกับทิเบต
ก็ไม่ลืมนำคำถามทั้งหมดไปครุ่นคิดติดตาม "ฟ้าดินสร้างภูเขา คนตัดทาง... แต่จุดหมายเล่าเป็นผู้ใดกำหนด" ('จิวไช่โกว', 2539)
พูดก็พูดเถอะ ระหว่างนั้นผมไม่รู้เลยว่าการไม่ยอมรับกระแสหลัก
ในสังคมอย่างต่อเนื่องยาวนาน ได้กลายเป็นกระบวนการสร้างตัวตนของผม
ขึ้นมาใหม่ ซึ่งแม้ไม่ใช่นักปฏิวัติเหมือนเก่า แต่ก็ไม่ใช่สมาชิก
ของกระแสลาภ ยศ และสรรเสริญ เช่นนี้แล้ว
ถึงผมไม่มีสังกัดเป็นกลุ่มก้อนขบวนการ แต่ก็นับเป็นสายพันธุ์หนึ่งโดยตนเอง
เป็นเวลายาวนานเกินสิบปี ที่ผมใช้ชีวิตเหมือนชนชาติส่วนน้อยผู้หวงแหนวิถีดั้งเดิม ผมแต่งตัวไม่เหมือนใคร และไม่ชอบพูดคุยกับใครนอกเหนือจากมิตรสหาย
ใกล้ชิดกลุ่มเล็กๆ บางครั้งผมยินดีอยู่อย่างโด่ดเดี่ยวและพอใจกับมัน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าผมพร้อมจะเอาเป็นเอาตายกับผู้คนที่เข้ามาละเมิดล่วงเกิน
แต่ก็อีกนั่นแหละ ทั้งหมดนี้แม้จะแก้ปัญหาอัตลักษณ์ได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมพบคำตอบอะไรชัดเจนในระดับเหนือขึ้นไปอีก
ยิ่งนานวันชิีวิตยิ่งมีแต่คำถาม และความเศร้าโศกหมุนวน ราวกับว่าตัวตนของผมถูกนิยามด้วยคำถามและห้วงอารมณ์เหล่านั้น
จนอายุขึ้นห้าสิบ ความเหนื่อยล้าทำให้ผมอยากนั่งนิ่งๆและเลิกทะเลาะกับผู้คน ยามนี้ผมรู้สึกไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น นอกจากสันติภาพภายใน
พอหยุดเรียกร้องค้นหา ผมจึงเริ่มเข้าใจว่า
แท้จริงแล้วสิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ไม่ให้คืบหน้าทางจิตวิญญาณ
ก็คือการแสวงหาทางจิตวิญญาณนั่นเอง
การมีวิถีต่างจากผู้อื่นอาจจะไม่เป็นไร แต่การตีเส้นแบ่งระหว่างตนเองกับผู้อื่น
เพราะกลัวการ'ปนเปื้อน' ทางจิตวิญญาณ นับเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี คนเราไม่อาจชำระใจด้วยการแต่งกายสีขาว และการแยกตัวออกจากเพื่อนมนุษย์ก็ไม่ใช่อิสรภาพในความหมายใด
ชีิวิตก็เช่นกัน ทางที่ถูกอย่าได้ไปนิยามมัน เพราะทันทีที่ทำเช่นนั้น ชีวิตเราจะถูกย่อความให้เป็นแค่ความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ความจริงเสมอไป อย่าว่าแต่เป็นความจริงอันครบถ้วน
จะว่าไปก็นานพอสมควรแล้วที่ผมไม่ได้ตกปลา
รวมทั้งเลิกถามหาความหมายของสิ่งต่างๆ
ที่มา: เสกสรรค์ ประเสริฐกุล.(2550). ฉากชีวิตที่อยู่กลางแจ้ง. ค.คน Magazine.2(9), 134-135.
Comments
sydney...
แอบสงสารน้องเจี๊ยบของเรา
ไม่มีชั้นไขมันมากพอ
ที่จะต้านทานความหนาว (เหมือนพี่)อิอิ
มิสยูวววว นะจ๊ะ
คงหนาวน่าดู
take care นะจ๊ะ